Cute Bow Tie Hearts Blinking Blue Pointer Cute Bow Tie Hearts Blinking Blue Pointer

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คลังข้อสอบ


ข้อสอบ

       ช่วงทางโค้งแรกของ ม.6 ก็มาถึงกันแล้วนะครับ กับช่วงการสอบ GAT/PAT รอบแรกในช่วงเดือนตุลาคม ผมก็ได้นำข้อสอบเก่าๆวิชาต่างๆ จากหลายสนามมาให้ลองซ้อมมือทำกันก่อนนะครับ


เว็บไซต์เกี่ยวกับการรับตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆนะครับ

**** http://www.enttrong.com/

****http://www.dek-d.com/admission/direct/

****http://www.admissionpremium.com/addirect/



Math





O-NET

         http://forum.02dual.com/examfile/1505topic/key_onet_m6_maths_53.pdf

         http://forum.02dual.com/examfile/1505topic/04E.pdf


CMU


         http://www.slideshare.net/kerdpom/2555-23786721


PAT 1 + 9 วิชาสามัญ

      https://www.opendurian.com/exercises/



English

                      
                         Cr: https://english.cas2.lehigh.edu/content/english-lehigh-0



GAT Eng

       
         https://www.opendurian.com/exercises/senior/english/?page=2


O-NET

        http://forum.02dual.com/examfile/1505topic/03E.pdf



Chemistry






         http://www.vcharkarn.com/exam/set/197


        https://drive.google.com/file/d/0ByYlPLXns1nwYzVPOXA4WVNBRTA/viewN

     
        http://www.posn.or.th/images/stories/exam-theory-tbo.pdf


Biology




PAT  2






Physics



สอวน.




Social Studies





Thai



      

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 5 บทความ

.นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกฯ ด้านไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ  ให้ความรู้เกี่ยวกับไวรัสเมอร์สว่า เป็นไวรัสที่อยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสโคโลนาซึ่งทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือไวรัสซาร์สที่เคยแพร่ระบาดเมื่อปี๒๐๐๓ ไวรัสซาร์สกับไวรัสเมอร์สมีรหัสการเรียงตัวของพันธุกรรมที่ใกล้กันมากและมีต้นกำเนิดมาจากค้าวคาวซึ่งเป็นสัตว์ที่เป็นตัวเพาะเชื้อเช่นเดียวกัน
สำหรับไวรัสเมอร์สอยู่ในกลุ่มเบต้าโคโลนาไวรัส ซึ่งรู้จักมาตั้งแต่ปี ๒๐๑๒  ผู้ที่เสียชีวิตคนแรกจากโรคนี้เป็นชาวตะวันออกกลาง  เมื่อตรวจพบว่าเป็นไวรัสชนิดใหม่ จึงได้ตั้งชื่อว่า (Mers) middle East Resptratory เนื่องจากถูกค้นพบที่ตะวันออกกลาง ไวรัสนี้สามารถถ่ายทอดจากคนสู่คน  ดังจะเห็นจะได้การแพร่ระบาดครั้งใหญ่และรุนแรงของโรคนี้ที่ประเทศเกาหลี เพราะเชื้อสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมและติดต่อกันได้  ถ้าอยู่ในอากาศที่เย็น ประมาณ ๒๐ องศา และความชื้นไม่มากนัก เชื้อจะสามารถอยู่ได้นาน ๔๘ ชั่วโมง ในขณะที่    อุณหภมิ ๓๐ องศา และมีความชื้นมากขึ้นก็จะอยู่ได้นานถึง ชั่วโมง การแพร่กระจายของไวรัสเกิดจากการไอ จามของผู้ที่ติดเชื้อ รวมถึงการสัมผัสกับคนไข้ หรือข้าวของเครื่องใช้โดยตรง นอกจากสารคัดหลั่งจากร่างกายแล้วไวรัสเมอร์สยังสามารถตรวจพบได้จากเซลที่ผนังจมูกและโพรงจมูกด้านหลัง
การได้ตัวอย่างจากลำคอด้านหลัง โดยเฉพาะเสมหะที่อยู่ในหลอดลมหรือทางเดินหายใจส่วนลึกลงไปก็จะทำให้ได้ผลแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้เลือด และอุจจาระ ก็ยังเป็นตัวอย่างที่เราสามารถนำมาใช้ในการตรวจได้อีกด้วย
.นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวถึงผู้ป่วยจากไวรัสเมอร์สรายเดียวที่พบในประเทศไทยว่า  ทางสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรคติดต่อ ได้ติดต่อมาที่ศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกฯ ด้านไวรัสสัตว์สู่คน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้มีอาการอยู่ในข่ายที่น่าสงสัยถึงแม้จะได้ผลตรวจเป็นลบถึงสองครั้ง ซึ่งตัวอย่างที่ส่งมาตรวจนั้นเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างสมบูรณ์คือเสมหะ ทางศูนย์ฯได้ทำการตรวจทั้งหมด ยีน และสามารถตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ภายในเวลา ชั่วโมง
อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเมอร์สจะแสดงอาการในวันที่ ๑๔  ซึ่งสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้  อาการนั้นจะมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน  ตั้งแต่ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการไอ จามเล็กน้อย เหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา หากมีอาการมากก็จะปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว เป็นไข้ ท้องเสีย จนกระทั่งปอดบวม  วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือ หากสงสัยว่ามีอาการคล้ายโรคติดเชื้อ เราต้องทำตัวเองให้แข็งแรงที่สุด ต้องรู้ว่าตนเองมีโรคประจำตัวอะไร และต้องรีบรักษาให้กลับคืนสู่สภาพปกติให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้ลูกโซ่ของการแพร่ระบาดเชื้อโรคขาดตอน  ไม่มีการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นที่ใกล้ชิด นอกจากนี้หลักการสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือ  กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ปิดปากเวลาไอ จาม ไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน
  สำหรับมาตรการการป้องกันโรคในประเทศไทยนั้นไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากประเทศไทยมีการพัฒนาการตรวจวินิจฉัยโรคและมีมาตรการที่ค่อนข้างรัดกุมไปมากแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เคยเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัด ๒๐๐๙  อย่างไรก็ตามจะต้องเพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้นอีกในระยะนี้ และต้องพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป เพื่อที่จะรองรับกับโรคที่อาจจะอุบัติใหม่ขึ้นมาอีกในอนาคต”  .นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวในที่สุด



รู้ทันไวรัสเมอร์ส โรคทางเดินหายใจ


โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome – MERS) นับว่าเป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่กำลังระบาดเข้ามาในหลายๆประเทศ เชื้อไวรัสเมอร์สนี้เป็นเชื้อที่ค่อนข้างรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษาและป้องกันโดยแพทย์อย่างใกล้ชิดก็สามารถถึงแก่ชีวิตได้ วันนี้ fat108 ดอทคอมจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคเมอร์สมาเพื่อให้เราสามารถป้องกันจากเชื้อไวรัสตัวร้ายนี้ได้


อาการกลุ่มเสี่ยงที่คาดว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome – MERS)
1. มีอาการไข้
2. ไอ
3. หอบ
4. เหนื่อย
5. บางรายมีอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาเจียน ในรายที่มีอาการรุนแรงมักมีอาการแสดงของโรคปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว อวัยวะล้มเหลว โดยเฉพาะไตวาย จนถึงขั้นเสียชีวิต
เนื่องด้วยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของยุโรป (ECDC: European Centre for Disease Prevention and Control) รายงานพบผู้ป่วยยืนยันโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2558 รวมแล้ว ผู้ป่วย 1,307 ราย เสียชีวิต 500 ราย โดยพบรายงานผู้ป่วยทั้งหมด จาก 25 ประเทศ ดังนี้ ซาอุดิอาระเบีย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , กาตาร์ , จอร์แดน , โอมาน , คูเวต , อียิปต์ , เยเมน , เลบานอน , อิหร่าน , ตุรกี , อังกฤษ , เยอรมนี , ฝรั่งเศส , อิตาลี , กรีซ , เนเธอร์แลนด์ , ออสเตเรีย , ตูนีเซีย , แอลจีเรีย , มาเลเซีย , ฟิลิปปินส์ , สหรัฐอเมริกา , เกาหลีใต้ และจีน ล่าสุด วันที่ 18 มิถุนายน 2558 กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย ได้รายงานว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส จำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นชายชาวตะวันออกกลาง เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคเมอร์ส ขณะนี้ผู้ป่วยอาการทรงตัว และรับการรักษาอยู่ห้องแยกโรค ทั้งนี้มีการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด และมีการใช้มาตรการในการป้องกันการแพร่กระจายโรคอย่างสูงสุด ประเทศไทยได้มีระบบเฝ้าระวัง ตรวจจับโรคดังกล่าวอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง
มาตรการในการป้องกัน โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส
1. เมื่อพบกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ป่วย ให้แยกผู้ป่วยและญาติไปห้องแยกโรค ไม่ให้ปะปนกับผู้ป่วยรายอื่น
2. ถ้าคิดว่าตัวเองอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อไวรัสโรคเมอร์ส มีอาการไข้ ไอ จาม มากผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
3. หากเราต้องเดินทางไปในพื้นที่ ที่มีกลุ่มเสี่ยงโรคเมอร์ส ให้เราป้องกันตัวเองด้วยวิธีการ ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันโรค
กลุ่มเสี่ยงที่อาจจะได้รับเชื้อไวรัสโรคเมอร์ส ได้ง่าย
1. ผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูง
2. ผู้ที่มีประวัติเบาหวาน
3. ผู้ที่มีประวัติมะเร็ง
4. ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับ
5. ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจ จากข้อมูลในกลุ่มผู้เสียชีวิตจากโรคเมอร์ส พบว่าส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มะเร็งตับ มะเร็งไต เป็นต้น


วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2559





.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 คือร่างแก้ใขของ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2550 ที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ดังนั้นโครงสร้างของกฎหมายสองฉบับจึงเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนกฏหมายทั้งสองฉบับก็ต้องมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่หลายประเด็น และหลายๆ ประเด็นก็ถูกตั้งคำถามมากมายว่าเป็นธรรมหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่?
พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 ถูกเริ่มร่างเมื่อปี 2558  และยังคงแก้ใขต่อเนื่องมาถึงปี 2559 ดังนั้น พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2558 ก็คือฉบับเดียวกันกับพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 นั่นเอง

ข้อแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559 กับ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559







ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.... หรือ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นหนึ่งใน "ชุดกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล" ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปแล้ว และกำลังเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
          เมื่อต้นปี 2558 คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติหลักการกฎหมายชุดนี้ ก่อนมีกระแสคัดค้านอย่างมากบนโลกออนไลน์ จนกระทั่ง วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย เคยเปิดเผยว่า ภายหลังการหารือร่วมกับตัวแทนองค์กรสื่อ ผู้ค้า อี-คอมเมิร์ซ ผู้ผลิตสื่อออนไลน์ และนักวิชาการด้านกฎหมาย ผู้เข้าร่วมประชุมได้แสดงออกและชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของชุดกฎหมายดังกล่าวที่จะต้องพิจารณาแก้ไขโดยด่วน
          ร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นหนึ่งในฉบับที่โดดเด่นในชุดกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล ซึ่งสาเหตุของการเสนอแก้ไขเนื่องจาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีปัญหาการบังคับใช้หลายประเด็น เช่น ถูกใช้กับความผิดด้านความมั่นคงมากกว่าความผิดเกี่ยวกับการเจาะระบบ กำหนดความรับผิดของผู้ให้บริการไว้กว้างเกินไปทำให้เกิดบรรยากาศการเซ็นเซอร์ตัวเอง การตีความมาตรา 14(1) เพื่อใช้กับการหมิ่นประมาทออนไลน์ซึ่งผิดเจตนารมณ์ ทำให้ตลอด 9 ปีของการบังคับใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พบว่า กฎหมายนี้ส่งผลกระทบต่อการใช้เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์อย่างมาก 
          ขณะเดียวกันทางฝั่งเจ้าหน้าที่ก็ยังพบปัญหาว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ใช้กันอยู่นั้นให้อำนาจเจ้าหน้าที่ไว้น้อยเกินไปไม่เพียงพอต่อการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดบนโลกอินเทอร์เน็ต และควบคุมการเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อสังคม 
          หลังผ่านมากว่า 1 ปี ชุดกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล ถูกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขปรับปรุงเสร็จไปทีละฉบับ และทยอยส่งกลับมาให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อส่งต่อให้สนช. นำไปพิจารณาประกาศใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นฉบับหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว มีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
แก้มาตรา 14(1) ไม่มุ่งเอาผิดกับการหมิ่นประมาท แต่ยังคลุมเครือเปิดช่องตีความได้
           พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14(1) มีวัตถุประสงค์มุ่งเอาผิดการทำเว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกลวงผู้บริโภคให้เข้ามาทำธุรกรรมต่างๆ เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเว็บไซต์จริงๆ หรือ ที่เรียกว่า Phishing แต่เนื่องจากกฎหมายเดิมเขียนเอาไว้ว่า “ผู้ใด... นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ทำให้มาตรานี้ถูกตีความไปใช้ลงโทษการโพสต์ข้อความในลักษณะหมิ่นประมาทบุคคลอื่น หรือการใส่ความกันบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ และส่งผลสร้างความกลัวที่จะแสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ บนโลกออนไลน์อย่างมาก


          เคยเสนอแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเขียน มาตรา 14(1) ใหม่เป็น “ผู้ใดโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ส่วนสำคัญที่เขียนเข้ามาใหม่ คือ การโพสต์ข้อมูลต้องมีเจตนาเพื่อ “ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนบุคคล” ทำให้ชัดเจนว่าเป็นการเอาผิดกับการ Phishing และการหมิ่นประมาทบนโลกออนไลน์ก็จะไม่ผิดตามกฎหมายนี้อีกต่อไป 
แต่ตามร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับที่ครม. มีมติเห็นชอบล่าสุด เขียนมาตรา 14(1) ใหม่ว่า "ผู้ใด... โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน"
ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปในร่างฉบับนี้ คือ กำหนดให้ชัดเจนว่าผู้กระทำต้องมีเจตนา "โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง" ซึ่งคำว่า โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา หมายความว่า "เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" เห็นได้ว่า ผู้ร่างต้องการแก้ไขให้ชัดเจนขึ้นว่ามาตรา 14(1) มีวัตถุประสงค์ใช้เอาผิดการกระทำที่มุ่งต่อประโยชน์ทางทรัพย์สิน ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นออนไลน์ และการกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 14(1) จะต้องมีพฤติการณ์ที่จะสร้างความเสียหายแก่ประชาชน หรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งต่างจากมาตรา 14(1) เดิม ซึ่งการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อบุคคลหนึ่งก็เป็นความผิดได้
อย่างไรก็ดี การเขียนมาตรา 14(1) ตามร่างฉบับนี้ ยังเปิดช่องให้เกิดการตีความนำไปใช้ลงโทษกับการหมิ่นประมาทออนไลน์ได้อยู่บ้าง โดยอาจมีผู้เข้าใจผิดตีความไปได้ว่า การโพสต์เนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตที่ไม่เป็นความจริงและทำให้ประชาชนทั่วไปสับสน เป็นเจตนา "โดยหลอกลวง" และยกเอามาตรา 14(1) มาใช้ดำเนินคดีกับการแสดงความคิดเห็นต่อไปอีก การเขียนมาตรา 14(1) ตามร่างฉบับนี้จึงยังเปิดช่องให้กฎหมายถูกใช้อย่างผิดเจตนารมณ์ได้อยู่ ต่างจากร่างฉบับปี 2558 ที่เขียนไว้ค่อนข้างรัดกุมชัดเจนกว่า
ส่วนบทกำหนดโทษ ตามมาตรา 14(1) ของร่างล่าสุด แบ่งโทษออกเป็นสองระดับ โดยความผิดฐานนำเข้าข้อมูลปลอมหรือข้อมูลเท็จ หากมีลักษณะจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนทั่วไปได้ ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และหากจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น มาตรา 14 วรรคสอง เขียนให้มีโทษน้องลง โดยให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท








































เพิ่มความผิดฐานโพสต์ข้อมูลเท็จที่กระทบ "ความปลอดภัยสาธารณะ" "ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ"
จากเดิมที่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(2) เอาผิดการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ สองลักษณะ คือ 1) น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ 2) น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับนี้ เพิ่มข้อความขึ้นมาโดยเอาผิดกับการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ สี่ลักษณะ คือ 1) น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ 2) น่าจะเกิดความเสียหายต่อความปลอดภัยสาธารณะ 3) น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และ 4) น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
"ความปลอดภัยสาธารณะ" และ "ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" เป็นคำที่มีความหมายกว้างและเป็นคำใหม่ที่ไม่ค่อยใช้เป็นเงื่อนไขกำหนดการกระทำที่เป็นความผิดและกำหนดบทลงโทษ ยังไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนอยู่ในกฎหมายฉบับใดมาก่อน การนำคำที่มีความหมายกว้างมาบัญญัติเป็นข้อห้ามลักษณะนี้อาจเป็นการใช้ถ้อยคำให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การคุ้มครองความมั่นคงของระบบไซเบอร์ และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นนโยบายรวมของการผลักดันกฎหมายชุดความมั่นคงดิจิทัลทั้งระบบ จึงยังต้องรอดูร่างกฎหมายฉบับอื่นๆ ในชุดกฎหมายนี้ที่จะเผยแพร่ตามมาอีกด้วยว่า มีกฎหมายฉบับใดให้คำนิยามของสองคำนี้ไว้หรือไม่
แอดมินที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจรับผิดเท่าคนโพสต์ เพิ่ม "ขั้นตอนการแจ้งเตือน" ให้ทำตามแล้วพ้นผิด
          ตามมาตรา 15 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 ประเด็นความรับผิดของ “ผู้ให้บริการ” เป็นปัญหาใหญ่ เพราะกฎหมายเดิมกำหนดไว้ว่า ผู้ให้บริการที่ “จงใจสนับสนุนหรือยินยอม” ให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในระบบคอมพิวเตอร์ที่ดูแลอยู่ ต้องรับโทษเท่ากับผู้กระทำความผิด ซึ่งเป็นการสร้างภาระทางกฎหมายให้ผู้ดูแลเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเว็บไซต์หลายแห่งจึงยกเลิกบริการพื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่าง เว็บบอร์ด หรือการคอมเม้นต์ท้ายข่าว และต้องคอยเซ็นเซอร์เนื้อหาบนโลกออนไลน์โดยการลบข้อความที่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าผิดกฎหมายหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
          ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับนี้ แม้จะยังกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องรับผิดเท่ากับผู้กระทำความผิด แต่ก็เพิ่มบทบัญญัติขึ้นมาว่า
            “มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิด ตามมาตรา 14
             ให้รัฐมนตรีออกประกาศกำหนดขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์
             ถ้าผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าตนได้ปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามวรรคสอง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ" 
          จุดที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงจากร่างเดิมคือพฤติการณ์อันแสดงถึงเจตนาของผู้ให้บริการ ซึ่งกฎหมายเดิมเอาผิดกับผู้ให้บริการที่ "จงใจสนับสนุนหรือยินยอม" ส่วนตามร่างฉบับนี้ เอาผิดกับผู้ให้บริการที่ 1) ให้ความร่วมมือ 2) ยินยอม 3) รู้เห็นเป็นใจ
          การ "ให้ความร่วมมือ" หรือ "รู้เห็นเป็นใจ" อาจต้องชัดเจนว่าผู้ให้บริการมีเจตนากระทำความผิดร่วมกับผู้ที่โพสต์เนื้อหาผิดกฎหมายเองด้วย แต่คำว่า "ยินยอม" ยังเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่า กรณีใดผู้ให้บริการพบเห็นข้อความแล้วแต่มีเจตนาที่จะยินยอมให้อยู่ต่อไป หรือกรณีใดที่ผู้ให้บริการไม่ได้ยินยอมแต่ทำหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อตรวจสอบไม่พบเนื้อหาผิดกฎหมาย หรือเนื่องจากความผิดพลาดส่วนบุคคลโดยไม่ได้ตั้งใจ 
          สำหรับ “ขั้นตอนการแจ้งเตือน” หรือระบบ Notice and Takedown นั้น เป็นหลักการใหม่ที่ไม่เคยมีอยู่ในกฎหมายเดิม ร่างฉบับนี้ยังไม่ได้เขียนไว้ว่าขั้นตอนการแจ้งเตือนจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ให้บริการจะต้องลบออกภายในเวลาเท่าใด และผู้ให้บริการมีสิทธิอุทธรณ์ได้หรือไม่ ร่างฉบับนี้เพียงกำหนดให้รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นกระทรวงที่จะตั้งขึ้นใหม่ เป็นผู้มีอำนาจกำหนดรายละเอียดต่อไป จึงต้องขึ้นอยู่กับกฎระเบียบที่จะออกมาในอนาคตอีกด้วยว่าจะสามารถสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิมได้หรือไม่
          เท่าที่ทราบจากร่างในปัจจุบัน คือ ผู้ให้บริการที่ไม่ได้ลบข้อความผิดกฎหมายออกภายในเวลาที่กำหนดยังคงต้องรับผิดในอัตราโทษเท่ากับผู้ผลิตและเผยแพร่ข้อความ หากผู้ให้บริการจะพ้นผิดได้เป็นภาระของผู้ให้บริการที่จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนถูกต้องแล้ว



 

ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูล สั่งบล็อคเว็บ "ขัดต่อศีลธรรม" ได้ แม้เนื้อหาไม่ผิดกฎหมายใด
          ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับที่ใช้กันอยู่ มาตรา 20 เนื้อหาที่เจ้าหน้าที่นำไปขอหมายศาลให้ปิดกั้นการเข้าถึง หรือการ "บล็อคเว็บ" ได้ ต้องมีลักษณะ คือ เป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ เกี่ยวกับการก่อการร้าย หรือ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 
          ก่อนหน้านี้แม้เจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จะตรวจพบเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์ผิดกฎหมายต่างๆ เช่น เว็บไซต์เล่นการพนัน เว็บไซต์ขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต เว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ แต่ก็ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะบล็อคการเข้าถึงเว็บไซต์เหล่านี้ เนื่องจากเป็นกระทำความผิดที่อยู่นอกเหนือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และอยู่นอกเหนืออำนาจของเจ้าพนักงาน ทำให้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจการปิดกั้นเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านี้ได้
          ในร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับล่าสุด มาตรา 20(3) จึงกำหนดให้เจ้าพนักงานตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ สามารถขอหมายศาลให้บล็อคเว็บที่มีเนื้อหาผิดต่อกฎหมายอื่นได้ด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นๆ ร้องขอมา เช่น เมื่อตำรวจในท้องที่ร้องขอให้ปิดเว็บไซต์เล่นการพนัน เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร้องขอให้ปิดเว็บไซต์ที่ขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือกรมทรัพย์สินทางปัญญาร้องขอให้ปิดเว็บไซต์ที่ขายของละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น 
          นอกจากนี้ ร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับนี้ ยังมีมาตรา 20(4) ที่เปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ที่แม้เนื้อหาจะไม่ผิดกฎหมายใดเลยก็ได้ ถ้าเห็นว่าเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยมาตรา 20(4) กำหนดให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ขึ้นมาเป็นหน่วยงานใหม่ มีกรรมการ 5 คน โดยสองในห้าคนต้องเป็นตัวแทนภาคเอกชน หากคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ปิดกั้นเนื้อหาใดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เจ้าพนักงานก็ดำเนินการขออนุมัติจากศาลให้บล็อคเว็บไซต์ที่มีเนื้อหานั้นๆ ได้ 

         นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับนี้ ยังมีประเด็นใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา เช่น การขยายระยะเวลาที่ให้ผู้ให้บริการมีหน้าที่เก็บข้อมูลการใช้งานคอมพิวเตอร์ในกรณีจำเป็นจากไม่เกินหนึ่งปีเป็นสองปี การมีเงินเพิ่มพิเศษให้สำหรับเจ้าพนักงานตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ การเอาผิดกับการเผยแพร่ภาพตัดต่อไปถึงภาพตัดต่อของผู้ที่เสียชีวิตแล้ว การเพิ่มโทษฐานส่งสแปมโดยไม่เปิดโอกาสให้บอกเลิก รวมทั้งการเพิ่มโทษการเจาะระบบหรือทำลายระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://ilaw.or.th/node/4092

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

What is Blogger ??



What is Blogger ??







        มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไร” กันดีกว่าครับ







Blog 

       มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)



ความหมายของคำว่า Blog

        ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ 


      แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประ ท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น


     จุดเด่นที่สุดของ Blog 


ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPressMovable Type เป็นต้น


     ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq


     เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ


     และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง


     สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย



สิ่งที่ต้องเตรียมเมื่อต้องการทำ Blogger



1. ประเภทของบล็อกเกอร์ที่คุณต้องการทำ
เช่น ร้านค้าออนไลน์ , ขายตรง , โฆษณา โปรโมทสินค้า , ทำงานส่งอาจารย์ , บล็อกส่วนตัว , รีวิวสินค้า  เป็นต้น

2. ข้อมูลที่ต้องการจัดลงบล็อกเกอร์
มีมากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะได้วิเคราะห์ รูปแบบที่เหมาะสม

3. รูปแบบบล็อกที่ต้องการ (Template) 
เช่น ต้องการ Slide , โทนสี , หมวดหมู่ย่อย , ต้องการโชว์รูปภาพเยอะๆ เป็นต้น


วิธีสร้าง Blogger








วิธีเปลี่ยน Template Blogger

 Cr.https://www.youtube.com/watch?v=3RGXYl-AKqc


วิธีแทรกวีดีโอจาก Youtube ลง blog

ข้อดีและข้อเสียของ Blog : 


ข้อดี
- มีอิสระที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog)
- เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ
- ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ 
- หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทำให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้
เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ
- สามารถใช้ Blog ในการทำธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ
- สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ 
ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info)
- มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก

ข้อเสีย
- ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สำเร็จรูป
- แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว
- เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทำผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส
ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)

อ้างอิงข้อมูล : 

-- http://dk2jay.blogspot.com/2012/09/blogger.html

--  http://www.jojho.com/2013/05/what-is-blog.html

--  https://www.youtube.com/watch?v=3RGXYl-AKqc

--  https://www.youtube.com/watch?v=StsN4KAiUuM

--  https://www.youtube.com/watch?v=eLCRPddXTRk